tag:blogger.com,1999:blog-53134477866681521392024-03-14T01:13:53.212+07:00ถักทอสายใย หัวใจเดียวกันด้วยหน้าที่การงาน บางครั้งก็ทำให้เราเหนื่อยล้า
หมดแรงใจ ที่จะดูแล พลังชีวิต
เราไม่ได้เข้มแข็งตลอดเวลา อ่อนแอบ้าง เปราะบางได้
อยากให้พวกเราได้ช่วยกัน แบ่งปัน เรื่องราว
ประสบการณ์ตรงอันทรงคุณค่า เพื่อหล่อเลี้ยง ถักทอสายใย
ก่อเกิดความยั่งยืนตามที่หลายๆคนอยากให้เป็น
ลงมือทำ แล้วฝันจึงเป็นจริงนะครับปิยพงศ์ ดาวรุ่งhttp://www.blogger.com/profile/09762057018969737674noreply@blogger.comBlogger2125tag:blogger.com,1999:blog-5313447786668152139.post-41188020867216610662009-02-20T14:16:00.010+07:002009-02-20T15:09:00.097+07:00ศัตรูทั้ง ห้า<p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3ezwZwALBIpqVPoOvnU05qur9Mfsb-5vgC5K6hIjmlN-r7HrEh2Jl_jWOelzyMkFUiBXG42L7QycWiPyUoFM6eoxhp8BRujdQBf9nZbAobw0tAgZkm_icc863fyuVNUGXiNjFNqNr0iba/s1600-h/big_tree_s.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5304776919603773170" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3ezwZwALBIpqVPoOvnU05qur9Mfsb-5vgC5K6hIjmlN-r7HrEh2Jl_jWOelzyMkFUiBXG42L7QycWiPyUoFM6eoxhp8BRujdQBf9nZbAobw0tAgZkm_icc863fyuVNUGXiNjFNqNr0iba/s200/big_tree_s.JPG" border="0" /></a>เขาตัดต้นไม้อายุร้อยปี<br />มาทำเครื่องกงเต๊ก<br />ทาสีเขียวและเหลืองให้งดงาม ฯ<br />ส่วนต้นไม้ที่ตัดทิ้งไว้ในลำคู<br />ไม่มีใครใช้ให้เป็นประโยชน์ ฯ<br />ถ้าเราเปรียบไม้ทั้งสองนี้<br />จะเห็นว่าแตกต่างกันแต่รูปร่างภายนอก<br />ต้นหนึ่งงดงามกว่าอีกต้น<br />แต่ก็เหมือนกันอยู่อย่าง คือต่างก็สูญเสียธรรมชาติดั้งเดิมไป ฯ <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmq4OkkIOcjsWI0-lv0hjxehCyCFUxR9T9WR8fo8Oa2WQYaCV8WMLFAESLPVoiXzkg24RKz8CvvsXr4D_0h5KPhLylAzw0-Gnl4s3MwD4CY_zm6NQNCgEEa2HB0squ-bVN8GjDrQmdt2w6/s1600-h/2bfsunset.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5304777560655022178" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 150px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmq4OkkIOcjsWI0-lv0hjxehCyCFUxR9T9WR8fo8Oa2WQYaCV8WMLFAESLPVoiXzkg24RKz8CvvsXr4D_0h5KPhLylAzw0-Gnl4s3MwD4CY_zm6NQNCgEEa2HB0squ-bVN8GjDrQmdt2w6/s200/2bfsunset.JPG" border="0" /></a><br />ถ้าเปรียบโจรกับพลเมืองดี<br />จะเห็นว่าคนหนึ่งน่านับถือกว่าอีกคน ฯ<br />แต่ก็เห็นพ้องต้องกันได้ ว่าต่างก็สูญเสีย<br />ความเรียบง่ายอันเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ ฯ </p><p></p><p>เสียไปได้อย่างไร ตอบได้ว่าโดยวิธีทั้งห้า คือ<br />รักสีสัน อันยวนตา<br />ทำให้ไม่เห็นถูก ฯ<br />รักเสียงอันระรื่นหู<br />ทำให้ไม่ได้ยินถูก ฯ<br />รักกลิ่นอันน่าพิสมัย<br />ทำให้สมองไขว้เขว ฯ<br />รักรสอันน่าลิ้ม<br />ทำให้รสนิยมสูญเสียไป ฯ<br />ความปรารถนาทำให้ใจวุ่นวาย<br />จนเป็นเหตุให้ธรรมชาติดั้งเดิมกลายสภาพไป ฯ<br /><br /></p><p>ทั้งห้านี้เป็นศัตรูของชีวิตที่แท้ ฯ<br />แต่แล้วมนุษย์ปุถุชนก็ดำรงชีวิตเพื่อสิ่งเหล่านี้ ฯ<br />แต่สำหรับข้าพเจ้า หาดำคงชีพเพื่อสิ่งเหล่านี้ไม่ ฯ<br />ถ้าทั้งห้านี้คือปัจจัยของการดำรงชีพ<br />นกเขาในกรงก็ย่อมหาความสุขได้</p>ปิยพงศ์ ดาวรุ่งhttp://www.blogger.com/profile/09762057018969737674noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5313447786668152139.post-72978570899045059032009-01-08T17:15:00.000+07:002009-01-08T17:19:10.722+07:00เร่งรีบ....(ไม่)รับรู้"ทำอะไรเร็วๆ หน่อย!! สายแล้ว เดี๋ยวไปทำงานไม่ทันหรอก" "เฮ่ย เร่งมือหน่อย ยังมีงานต้องทำอีกเยอะนะ" "นี่เธอ! จะนั่งเหม่อไปถึงไหน งานตรงหน้ายังไม่เสร็จนะยะ" ฯลฯ เป็นประโยคที่ได้ยินบ่อยๆ สังคมเมืองซึ่งเต็มไปด้วยข่าวสารข้อมูล คำว่า "ฉับไว รวดเร็ว" จึงเป็นนิยามของความอยู่รอดในสังคม สังคมที่ต้องแข่งขันและชิงไหวชิงพริบ กันตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ได้หล่อหลอมให้ผู้คนต้องทำอะไรๆด้วยความรวดเร็ว และทำอะไรหลายๆอย่างพร้อมๆกัน จนกลายเป็นความ"เร่งรีบ" ที่คุ้นชิน สมองถูกใช้ไปในการคิดวิเคราะห์ จนแทบไม่เหลือช่องว่างให้กับการ"รับรู้" อารมณ์ ความรู้สึก มุ่งมั่นกับเป้าหมายที่ตั้งไว้จนใบหน้าที่แสดงออกมากลายเป็นพิมพ์นิยมดุจดั่ง "คนเหล็ก: Terminator" ไร้ซึ่งอารมณ์ จะมีสักช่วงไหมในยี่สิบสี่ชั่วโมง ที่เรารับรู้ถึง บรรยากาศรอบข้าง สายลม แสงแดด ยามที่สัมผัสผิวกาย เรารู้สึกอย่างไร เสียงแตรรถ เสียงนกร้อง เรารู้สึกอย่างไร กลิ่นน้ำเน่า กลิ่นดอกไม้ เรารู้สึกอย่างไร ยามได้เห็น หน้าตาอันบูดบึ้ง หรือมี รอยยิ้ม เรารู้สึกอย่างไร เราเคยสังเกตไหม หรือเพียงปล่อยให้มันผ่านไป แม้กระทั่งร่างกายของเราเอง ถ้าไม่ปวดเมื่อย หรือป่วยไข้จนกระทั่งทนไม่ไหว ก็คงไม่ได้รับการดูแล จำเป็นไหมที่ต้องรอให้เกิดความเจ็บป่วย?<br /> <br /> วิถีชีวิตผมก็เคยเป็นอย่างนั้น จึงได้รู้ว่า ร่างกาย จิตใจไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่หรอกครับ มีช่วงอ่อนแอ เปราะบางบ้าง ยามเจ็บป่วยจึงได้เรียนรู้จริงๆ<br /><br /> “ความเจ็บป่วย” เมื่อได้ยินคำนี้มักจะนึกถึง ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นทางกาย ในที่นี้อยากให้รวมถึง ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นทางใจด้วย เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อความเจ็บป่วยเกิดขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่งของ ร่างกาย หรือจิตใจ แม้กระทั่งความคิด ย่อมส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน เช่น เมื่อโหมทำงานหนักจนร่างกายรับไม่ไหว ส่งสัญญาณขอหยุดพักจนต้องเข้าโรงพยาบาล ความวิตกกังวล ในเรื่องงานที่ยังคั่งค้าง ก็นำพาความหวาดกลัว เข้ามาเยือนในหัวใจ จิตใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ก็พยายามคิดหาทางให้บรรลุถึงเป้าหมาย แต่แล้วด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมแบกรับความกดดัน ก็ไม่สามารถทำได้อย่างที่คิด ความอึดอัด ความหงุดหงิด ก็เข้ามาเยือน เมื่อทนไม่ไหว ก็พาลระเบิดอารมณ์ไปกับคนรอบข้าง ส่งความไม่สบายใจไปให้เขาโดยไม่รู้ตัว มองย้อนกลับไป สัญญาณทางกายที่แสดงออกมาก็เปรียบเหมือนการสื่อสาร เพียงแต่เรารับฟังเสียงของเขาจริงๆ ก็จะเห็นความต้องการของเขาอย่างชัดเจน ความดื้อรั้นโดยไม่ยอมรับฟังเลยรังแต่จะเป็นการทำลายตน คงไม่มีใครอยากทำร้ายบ้านของตนเองหรอกนะครับ ลองนำพาตนเองออกจากกระแสแห่งความคาดหวัง และความเร่งรีบชั่วขณะ โดยการอยู่นิ่งๆสักพัก เราก็จะรับรู้ ความรู้สึกในกาย จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น เราทำเพียงแค่ “รับรู้” เท่านั้นเอง<br /><br /> การเปลี่ยนจากสภาวะเร่งรีบ มาสู่สภาวะแห่งการรับรู้สามารถทำได้ โดยทำกิจวัตรให้ช้าลง อืม.. ผมเริ่มได้ยินเสียงแย้งในใจขึ้นมาทันทีทันควัน เช่น “จะบ้าหรือเปล่า คนกำลังรีบจะให้ช้าได้ยังไง” “มัวแต่รับรู้ รับรู้ แล้วเมื่อไหร่มันจะเสร็จ” และอื่นๆอีกมากมาย ขอให้อดทนอ่านต่อไปอีกนิดนะครับ คำว่า “ช้าลง” ไม่ได้หมายถึงต้องทำอะไรช้าตลอดเวลานะครับ เคยได้ยินคำว่า “ ช้าเพื่อจะเร็ว” ไหม มีคนเปรียบชีวิตเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ ในการเรียนรู้และทดลองได้ตลอด ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่จะเสนอนี้การทดลองก็แล้วกันครับ<br /><br /> ผมอยากให้ลองใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีในช่วงเช้าก่อนเริ่มกิจวัตรประจำวันใดๆ โดยการนั่งในท่วงท่าที่ผ่อนคลาย พยายามจัดสถานที่ให้ อากาศถ่ายเท ดูแล้วสบายตา หรืออาจเปิดเพลงบรรเลง ช่วยสร้างบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกสบายๆ จะมีเครื่องดื่มร้อนๆไว้ด้วยก็ยิ่งดีใหญ่ ระหว่างสิบห้านาทีนี้ปล่อยให้ใจเรามารับรู้ สัมผัส และดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบข้างที่เราได้ตระเตรียมไว้แล้ว เสียงเพลงเพราะๆ อากาศสดชื่น บรรยากาศที่มองแล้วสบายตา สัมผัสอันอบอุ่นผ่านถ้วยเครื่องดื่ม รสชาติที่แสนรัญจวนใจ วางความคิดเรื่องงานไว้ก่อน ทำเพียงเท่านี้หล่ะครับ เราก็พร้อมที่จะรับมือกับความเร่งรีบที่รออยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าไม่อยากปวดหัวจะต้องจัดอะไรมากมาย ก็ลองนำพาตัวเองไปอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติดูสิครับ สวนสาธารณะใดก็ได้ แล้วเปิดผัสสะแห่งการรับรู้ทั้ง ๕ เราก็จะได้สัมผัสถึงความ อบอุ่น และผ่อนคลายแล้ว มีคนกล่าวว่า ” ธรรมชาติเป็นดั่งผู้เยียวยา” ( Natural is Healer)<br /><br /> สภาวะแห่งการรับรู้ก็เปรียบเหมือนแบตเตอรี่ใช้ไปย่อมมีวันหมด การชาร์จแบตเตอรี่ก็คือการทำซ้ำๆอย่างสม่ำเสมอ บางคราทำครั้งเดียวในช่วงเช้าไม่พอ ด้วยภาวะงานที่รุมเร้า แบตเตอรี่ที่มีอยู่ถูกใช้หมดไปอย่างน่าใจหาย การชาร์จระหว่างวันก็มีส่วนสำคัญที่จะรักษาสภาวะแห่งการรับรู้ได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเหมือนช่วงเช้า เพียงใช้เวลาสั้นๆ ในช่วงเปลี่ยนอิริยาบท หรือเว้นว่างจากงาน ปล่อยวางความคิดเรื่องงานกลับมารับรู้สัมผัสทั้ง๕อีกครั้ง เท่านี้ก็เพียงพอจะรักษาสภาวะการรับรู้ได้ตลอดวันกระมัง ถ้ายังไม่พอ คงต้องชวนคนรอบข้างอีกสักสองสามคนมาทำร่วมกัน มีอยู่ครั้งนึงที่ผมมัวแต่ครุ่นคิดอยู่กับงานที่ทำ กัลญาณมิตรคนนึงก็เข้ามาทักว่า “วันนี้คุณหายใจหรือยัง?” เมื่อถูกทักอย่างนี้ก็นิ่งไปชั่วขณะ แล้วก็หัวเราะครู่ใหญ่ ขำให้กับความจมจ่อมของตนเองทำงานจนไม่รับรู้ว่าตนกำลังหายใจอยู่ นี่แหล่ะครับมีเพื่อนก็ต้องช่วยกันอย่างนี้<br /><br /> วิถีชีวิตที่คุ้นเคยมานาน การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งถ้ามากเกินไปอาจทำไม่ได้นาน ปรับเปลี่ยนทีละเล็กน้อย แล้วทำอยู่เป็นประจำจนคุ้นชินให้เป็นหนึ่งกับวิถีที่เป็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนจึงก่อเกิด การกลับมารับรู้เป็นพื้นฐานแรกๆของชีวิต ที่จะทำให้เราค้นพบศักยภาพอันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในตัวตนของเรา เป็นศักยภาพที่ไร้ขอบเขตและอัศจรรย์ใจยามได้พบ<br /> ขอเชิญชวนพวกเราร่วมเปิดผัสสะแห่งการรับรู้ และเรียนรู้ศักยภาพในตัวตนไปด้วยกัน เดินคนเดียวมันเหงาครับร่วมกันเดินก็จะได้แบ่งปันประสบการณ์ที่แต่ละคนเผชิญมา เมื่อเราเตรียมฐานไว้ดีแล้ว คราวหน้าก็จะเริ่มสำรวจดินแดนแห่งศักยภาพอันไร้ขอบเขตของเรากันหล่ะ<br /><br />ปล.<br />เร่งรีบ รีบเร่ง ไม่ รับรู้<br />รับรู้ เร่งรีบ ไม่ รีบเร่งปิยพงศ์ ดาวรุ่งhttp://www.blogger.com/profile/09762057018969737674noreply@blogger.com0